วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

>>วิธีทำ GAT เชื่อมโยง ให้ได้คะแนนเต็ม<<

>>วิธีทำ GAT เชื่อมโยง ให้ได้คะแนนเต็ม<<
1. อ่านคำสั่งก่อนเสมอ
          น้องๆควรอ่านคำสั่งในการทำข้อสอบก่อนทำข้อสอบก่อนเสมอ ว่าสัญลักษณ์แต่ละตัวแทนความหมายว่าอย่างไร เช่น A  แทน “ส่งผลทำให้” เพราะสัญลักษณ์หรือตัวอักษรเหล่านี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงความหมายไป ไม่เหมือนกับที่น้องๆเคยทำมาในข้อสอบเก่าก็เป็นได้ ดังนั้นอ่านคำสั่งก่อนครับ เพื่อความไม่ประมาท    

2. ขีดเส้นใต้คำเนียนทุกคำ
          ก่อนทำข้อสอบให้น้องๆอ่านคำหรือข้อความที่โจทย์กำหนดมาให้(ตัวหนาในบทความ)เชื่อมโยงก่อน แล้วจึงขีดเส้นใต้ “คำเนียน” หรือคำที่มีความหมายเหมือนกับคำที่โจทย์กำหนดมาแต่ใช้คำที่แตกต่างกัน เช่น ข้อสอบทำตัวหนาคำว่า“ป่าชายเลน” แล้วในข้อสอบบอกว่า “ป่าชายเลนหรือป่าโกงกาง เป็นป่า......” หมายความว่าคำว่า “ป่าชายเลน” และ “ป่าโกงกาง” นั้นมีความหมายเหมือนกัน น้องๆจึงควรขีดเส้นใต้ทั้งสองคำเมื่ออ่านเจอในบทความเสมอเพื่อป้องกันความสับสน


3. มีสติและสมาธิดีๆในขณะทำข้อสอบ
          เนื่องจากข้อสอบนั้นเป็นบทความที่มีความยาวมาก ดังนั้นการมีสติและสมาธิในการอ่านบทความทุกคำให้ละเอียดนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่ง่าย แต่มีความสำคัญอย่างมาก เพราะการเชื่อมโยงบางคำนั้นอาจซ่อนอยู่เพียงบรรทัดใดบรรทัดหนึ่งในบทความก็เป็นได้

4. อย่าคิดเอง เออเอง
          การคิดเอง เออเอง เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้น้องๆเสียคะแนนไปได้เป็นจำนวนมากในการทำข้อสอบ GAT เพราะบทความใน ข้อสอบ GAT เชื่อมโยง นั้นในหลายๆครั้งจะเป็นเรื่องราวที่น้องๆอาจจะพอมีความรู้ในเรื่องดังกล่าวอยู่บ้างแล้ว จึงทำให้เมื่ออ่านบทความไปเรื่อยๆน้องๆจะมีการเพิ่มเติมเนื้อหาที่เคยรู้มาก่อนแล้วมาไว้ในสมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้การตีความหมายบทความนั้นผิดไปได้มากเลยละ ดังนั้นน้องๆควรจะอ่านและตีความหมายตามบทความที่โจทย์ให้มาเท่านั้น ห้ามคิดไปเองเพิ่มเติมเด็ดขาด

5. อ่านไป ร่างไป
         พี่แนะนำให้น้องๆ อ่านบทความไปพร้อมร่างแผนภาพไปด้วย เช่นเมื่อเจอ “การปลูกป่า(01) ส่งผลให้ อากาศโดยรอบดีขึ้น(02)” น้องๆก็ควรจะทำแผนภาพเชื่อมโยงระหว่าง 01 และ 02 ไปด้วยเลย ไม่ต้องรอมานั่งร่างแผนภาพใหญ่ทีเดียว เพราะจะทำให้เสียเวลาและสับสนได้

6. ระวังรายละเอียดการขีดเส้นใต้คำ
                เช่น การตัดไม้ทำลายป่า(01) ทำให้ที่อยู่อาศัยของสัตว์ลดลง(02) จะเชื่อมโยงไม่เหมือนข้อความ
                 การตัดไม้ทำลายป่า(01) ทำให้ที่อยู่อาศัยของสัตว์ลดลง(02)

7. ดูเส้นที่ลากออกจากตัวเท่านั้น
          เมื่อต้องฝนรหัสคำตอบ ให้ดูเส้นที่ลากออกจากคำหรือข้อความเท่านั้น เช่น มีเส้นที่ลากออกจาก (10) อยู่ 3 เส้นในแผนภาพแสดงว่า เมื่อฝนรหัสคำตอบลงใน ข้อความที่(10) จะต้องมีเพียง 3 รหัสคำตอบเท่านั้น


8. ถ้าคำตอบใดมี 99H แล้วจะไม่มีคำตอบอื่นอีก
          เมื่อมี 99H ในคำตอบใดแล้วจะไม่มี 03D 02A หรือคำตอบอะไรอื่นๆอีกแน่นอน

9. ตรวจสอบคำตอบเมื่อฝนคำตอบ
          ตรวจสอบอีกครั้งก่อนส่งว่าคำตอบที่ฝนรหัสกับแผนภาพที่ร่างไว้นั้นตอบเหมือนกันหรือไม่ เพราะถ้าน้องๆอุตส่าห์ร่างแผนภาพได้ถูกต้องแล้วจะต้องมาเสียคะแนนไปเพียงเพราะฝนรหัสคำตอบผิดคงจะน่าเสียใจไม่ใช่น้อย
          เป็นอย่างไรบ้างครับกับ วิธีทำ GAT เชื่อมโยง ให้ได้เต็มโดยติวเตอร์จาก Top-A tutor หวังว่าจะพื้นฐานให้น้องๆได้รู้เทคนิคคร่าวๆก่อนที่จะไป เรียนพิเศษตัวต่อตัว หรือ ติว GAT เชื่อมโยง ตามสถาบันต่างๆนะครับ

5 เทคนิคเก่ง Grammar


  5 เทคนิคเก่ง Grammar
    - พื้นฐานง่ายๆ ต้องแม่น
           ภาษาอังกฤษก็เหมือนภาษาไทย ที่จำเป็นต้องรู้พื้นฐานก่อน คำนาม คำกริยา คำวิเศษณ์ กริยา 3 ช่อง พื้นฐานพวกนี้ถือว่าจำเป็นมากๆ สำหรับการเรียนแกรมม่าเลยก็ว่าได้ เพราะต้องใช้ต่อยอดแกรมม่าเรื่องอื่น จะเรียนเรื่อง Tense แต่ละ Tense ก็ใช้ Verb คนละช่อง ก็ต้องรู้จักเลือกใช้ให้ถูก เป็นต้น

   
 - กฎเหล็ก ข้อยกเว้น ต้องจำได้
            หลายคนตกม้าตายเรื่องข้อยกเว้น แกรมม่าเป็นเรื่องของหลักภาษาที่ค่อนข้างซับซ้อน กำหนดมาเป็นอย่างดีว่าต้องใช้แบบนี้ๆ แต่สุดท้ายก็จะมีข้อยกเว้นแปะท้ายให้ปวดกบาลคนเรียนเล่นๆ ยกตัวอย่างง่ายๆ นะคะ การเปลี่ยนคำนามเอกพจน์ให้เป็นพหูพจน์ เรียนกันมาว่าให้เติม s, es ถ้าลงท้ายด้วย o ให้เติม es ได้เลย แต่ก็มีข้อยกเว้น อย่างเช่น photo สามารถใช้ photos ได้เลย ไม่ใช่ photoes เป็นต้น

 
    - มีตัวอย่างเสริม
            แกรมม่าภาษาอังกฤษมีเยอะพอๆ กับหลักภาษาไทย จะให้ท่องจำแต่หลักหรือโครงสร้างก็น่าเบื่อเกินไป ลองวิธีนี้สิคะ หาตัวอย่างประโยคของหลักนั้นๆ เป็นโมเดลประโยค ท่องจำจะได้ง่ายขึ้นค่ะ ประมาณว่าคิดถึงโครงสร้างนี้ ท่องประโยคนี้ขึ้นมา ก็จะรู้ได้ว่าโครงสร้างมันเป็นยังไง ก็เหมือนกับเราท่องเสียงลือเสียงเล่าอ้าง เป็นต้นแบบของโครงสี่สุภาพนั่นเอง
    - อ่านเองไม่รู้เรื่อง ต้องเข้าใจตั้งแต่ในห้องเรียน
            ถ้ารู้ตัวว่าเรียนรู้อะไรช้า ยิ่งเป็นแกรมม่ายากๆ อ่านเองไม่เข้าใจ ก็ควรตั้งใจเรียนตั้งแต่ในห้องเรียน เพราะอาจารย์แต่คนจะมีเทคนิคการจำแตกต่างกัน ฟังให้เข้าใจตั้งแต่ในคาบและจดเทคนิคการจำไว้ด้วย กลับมาอ่านเองทีหลังจะได้ง่ายขึ้

    - อัพเกรดอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ
             วิธีนี้ถือว่าได้ประโยชน์ระยะยาวค่ะ หัดอ่านหนังสือเรื่องสั้น นิยาย หนังสือพิมพ์ ที่เป็นภาษาอังกฤษ หรืออ่านข่าวจากเว็บไซต์ต่างประเทศก็ได้ สื่อพวกนี้เราได้ทั้งศัพท์แปลกๆ ใหม่ๆ ยังได้เรียนรู้แกรมม่าด้วย

ประโยชน์ของมะเขือเทศ

ประโยชน์ของมะเขือเทศ

สารไลโคฟีน (Lycopene) เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ (Carotenoid)
ที่มีสรรพคุณต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) และช่วยในการป้องกันการเสื่อมสภาพของเซลล์ในร่างกาย สารไลโคฟีนนี้มีประสิทธิภาพเหนือว่าสารเบต้าเคโรทีน และสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์อื่น ๆ ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งที่มดลูกและปอด ยังพบอีกว่า สารไลโคฟีนนั้น สามารถช่วยลดโอกาสความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ มากถึง 21% อีกทั้งยังเป็นส่วนผสมในตำรับยา ที่ใช้ป้องกันอันตรายอันเกิดจากการผลิตอนุมูลอิสระที่ผิดปกติ สารไลโคฟีนนี้จะพบมากในมะเขือเทศแดงสด แตงโม และฝรั่งขี้นกที่มีเนื้อสีชมพูอมแดง เป็นต้น
การรับประทานมะเขือเทศเพียงวันละ 1-2 ลูกจะให้ประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เป็นต้นว่า ช่วยต้านโรคความดันโลหิตสูง บำรุงดวงตา และสายตา บำบัดอาการปัสสาวะขัด บำรุงเหงือกและฟัน ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว เยียวยาโรคเลือดออกตามไรฟัน ต้านทานโรคภัยไข้เจ็บ คุ้มกันไม่ให้เป็นหวัดง่าย แก้ท้องผูก และบำรุงผิวพรรณ และหากใช้มะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ หรือน้ำคั้นจากผลสดทาหน้า ช่วยทำให้ผิวหน้าตึง มีน้ำมีนวล

การรับประทานมะเขือเทศดิบ จะมีผลร้ายแรงเพราะจะมีสารที่ออกฤทธิ์รุนแรง จัดเป็นสารพิษ Steroidal alkaloid ในมะเขือเทศ คือ a-tomatine ซึ่งได้จากใบและส่วนเหนือดิน ในผลสีเขียวจะมี alkaloid 0.03% ในผลสุกไม่พบ alkaloid คุณสมบัติทางเภสัชวิทยาของ Steroidal alkaloid คือ ทำปฏิกิริยากับสเตียรอลที่เซลล์ผิวเป็นผลให้เม็ดเลือดแดงแตก ทำให้ผิวหนังและเนื้อบุผิวระคายเคืองอย่างแรง มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส รา และใช้เป็นยาฆ่าแมลงมีคุณสมบัติยับยั้งเอมไซม์โคลีนเอสเตอเรส กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและต่อมาจะทำให้เป็นอัมพาต หากรับประทานในขนาดที่จะทำให้เกิดพิษจะระคายเคืองทางเดินอาหารอย่างแรง

มะเขือเทศเป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหาร มะเขือเทศขนาดปานกลางจะมีปริมาณ
วิตามินซีครึ่งหนึ่งของส้มโอทั้งผล มะเขือเทศผลหนึ่งจะมีวิตามินเอราว 1 ใน 3 ของวิตามินเอที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวัน
นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีโปแตสเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและแร่ธาตูอื่นๆ อีกหลายชนิด
มะเขือเทศมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูง เพราะมะเขือเทศมีวิตามิน P (citrin) ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด

มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดันโลหิตสูง มะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้
ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกัน และรักษาโรคลักปิดลักเปิด ช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย

ช่วยบำรุงผิวลดริ้วรอย ผิวพรรณไม่แห้งกร้าน ระบบการหมุนเวียนเลือดดีขึ้น และยังสามารถต้านมะเร็งได้ด้วย
มะเขือเทศยังมีสารที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา ดังนั้นจึงใช้เป็นยารักษาโรคที่เกี่ยวกับปากที่เกิดจากเชื้อราได้

มนุษย์คนแรกของโลกที่บันทึกเรื่องอดีตนำไปสู่การตั้งปัญหาทางปรัชญาและวิจัย

มนุษย์คนแรกของโลกที่บันทึกเรื่องอดีตนำไปสู่การตั้งปัญหาทางปรัชญาและวิจัย
ก่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์

เฮโรโดตุส(Herodotus หรือ Herodotos) นักประวัติศาสตร์ชาวกรีก มีชีวิตอยู่ราว 500 ปี ก่อนคริสตศักราช
มีชื่อเสียงจากการริเริ่มประวัติศาสตร์นิพนธ์ตะวันตก อันนำไปสู่การตั้งปัญหาเรื่องปรัชญาและการวิจัย ก่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์

เขาเกิดในเมืองฮาลิคาร์นาสซัส (Halicarnassus) ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของเอเชียไมเนอร์ (Asia Minor) ซึ่งขณะนั้นอยู่ภายใต้การปกครองของเปอร์เซีย เขาเป็นนักเดินทางท่องเที่ยวคนนึงที่มักบันทึกข้อมูลต่างๆ ที่ได้พบเห็นขณะเดินทางไว้จำนวนมากและนำมาใช้เขียนข้อมูลพรรณนาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ชื่อ “ประวัติศาสตร์ของเฮโรโดตุส”(The Histories of Herodotus)ซึ่งได้รับการยกย่องจากวงวิชาการว่าเป็นวรรณกรรมรูปแบบใหม่
ประวัติศาสตร์ของเขาถือว่าเป็นบันทึกสงครามระหว่างกรีกกับเปอร์เซียในเชิงพรรณนา เขาบันทุกถึงการบุกรุกกรีกของเปอร์เซียในช่วง 500 ปี ก่อนคริสตกาล ขณะที่ยุคก่อนหน้านั้น ประวัติศาสตร์จะอยู่ในรูปแบบการเรียงลำดับของเรื่อง (Chronicle) และมหากาพย์(Epic) ซึ่งไม่ค่อยให้ความรู้เท่าไหร่นัก แต่เฮโรโดตุส ถือเป็นคนแรกที่ไม่ได้เพียงแค่บันทึกเรื่องราวในอดีตเท่านั้น  หากแต่ยังนำไปสู่การตั้งปัญหาทางปรัชญาหรือการวิจัย ก่อให้เกิดความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์อีกด้วยงานเขียนดังกล่าวทำให้ ซิเซโร (Cicero) ให้สมญานามเขาว่า บิดาแห่งประวัติศาสตร์ (The Father of History)

10 อาชีพที่ไม่ตกงาน

1. การบัญชี – 19.71%
2. แพทยศาสตร์ – 18.75%
3. บริหารธุรกิจ – 12.02%
4. คอมพิวเตอร์ – 10.10%
5. วิศวกรรมศาสตร์ – 10.10%
6. การตลาด – 8.65%
7. นิติศาสตร์ – 8.17%
8. พยาบาลศาสตร์ – 4.81%
9. การจัดการ – 4.33%
10. รัฐศาสตร์ – 3.36%

       

เทคนิค 7 ข้อ ในการสอบเข้ารับราชการให้ประสบความสำเร็จ

เทคนิค 7 ข้อ ในการสอบเข้ารับราชการให้ประสบความสำเร็จ

         
           1. การสมัครสอบมีส่วนสำคัญมาก ควรสมัครสอบในวันแรกที่เปิดรับสมัคร เพราะหากสอบได้แล้วลำดับในการเรียกบรรจุจะเรียกจากผู้มีคะแนนมากกว่า แต่เมื่อมีผู้มีคะแนนเท่ากันจะเรียงจากผู้ที่สมัครก่อน ซึ่งเป็นไปได้มากที่จะมีผู้ได้คะแนนเท่ากันเป็นจำนวนหลายคน  ซึ่งหากเราสมัครก่อนในกรณีคะแนนเท่ากันเราจะได้อยู่ในลำดับก่อน
            2.  การเตรียมตัวสอบ ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการสอบแข่งขัน ซึ่งมีหนังสือตำรา เกี่ยวกับการสอบแข่งขันมากกมาย แต่เวลาในการเตรียมสอบซึ่งนับตั้งแต่หน่วยงานราชการเปิดรับสมัครจนถึงเวลา สอบ ประมาณ 2 เดือน ซึ่งหากผู้เตรียมตัวสอบอ่านหนังสือแบบกว้างไม่เน้นจุดสำคัญก็จะทำให้พลาด โอกาสในการสอบได้  ดังนั้นควรอ่านประกาศการรับสมัครสอบให้ละเอียดว่าจะออกสอบเกี่ยวกับเรื่อง อะไรบ้าง เพื่อให้การเตรียมตัวสอบแคบลงในเวลาอันสั้น
            3. ข้อมูลเฉพาะของแต่ละหน่วยงานราชการก็มีความสำคัญ ควรทำความเข้าใจศึกษาให้ละเอียด เช่น ซื่อเว็บไซต์ ภารกิจหลักขององค์กร อำนาจหน้าที่ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง แนวนโยบาย  วิสัยทัศน์  ฯลฯ
            4. ในห้องสอบต้องทำข้อสอบให้ได้  โดยเฉพาะข้อสอบภาค ก. ต้องทำให้ทันเวลา ทำด้วยความรวดเร็วและถูกต้อง โดยเฉพาะคำถามเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ บางข้อก็สามารถนำตัวเลือกของข้อสอบมาสุ่มหาคำตอบได้เลยโดยไม่ต้องใช้สูตร จะทำให้ผู้เข้าสอบได้คะแนนเพิ่มขึ้น
            5. ข้อสอบภาษาไทยเกี่ยวกับการอ่านบทความ จะต้องตอบตามเนื้อความที่โจทย์ให้มาอย่าคิดนอกเหนือจากนั้น อย่าคิดล่วงหน้า และให้สังเกตข้อความเหล่านี้คือ  “ทำให้ , ปรากฏขึ้น, เพราะ,  เนื่องจาก”  ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่จะอยู่หลังข้อความเหล่านี้
            6. การเลือกคำตอบที่ถูกต้อง โดยเฉพาะตัวเลือกที่เป็นคำเฉพาะเจาะจง ส่วนใหญ่จะไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง เช่น หากมีตัวเลือกที่ลงท้ายว่า “เท่านั้น, เพียงอย่างเดียว” ให้ข้ามไปได้เลย
            7. การเดาอย่างมีประสิทธิภาพ  ในการเข้าสอบจากประสบการณ์ ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่ไม่สามารถหาคำตอบที่ถูกต้องได้ทุกข้อ จะต้องเดา เทคนิคง่าย ๆ ของการทำข้อสอบประเภทที่ถามเกี่ยวกับ จำนวนกี่คน  อายุกี่ปี ระเวลาเท่าใด    ถ้าหากไม่ทราบเลยว่าข้อใดเป็นข้อที่ถูกต้อง ควรเลือก ข้อ ค หรือ ง ก็ได้ เพราะคำตอบส่วนใหญ่จะเป็น ข้อ ค หรือ ง
ขอให้ทุกท่านโชคดีในการสอบ

10 วิธีการเตรียมตัวก่อนสอบ

1. ตั้งใจแน่วแน่ เชื่อมั่นในตัวเอง สร้างกำลังใจในการอ่านหนังสือ เอาชนะความเกียจคร้าน งดกิจกรรมอื่นๆ เลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด

2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเอง บอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต กำหนดชีวิตตัวเอง จ เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง

3. เขียนอนาคตตัวเอง สร้างเป้าหมายให้ชัดเจน เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้องเลยว่าจะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร วิเคราะห์ว่าเรามีความชอบและถนัดสาขาวิชาไหน แล้วลองเลือกมาเก็บไว้ โดยเลือกตามความถนัด ไม่เลือกตามเพื่อน ตามใจพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือตามกระแสนิยม

4. เตรียมความพร้อม เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ มาติว หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม

5. วางแผนการใช้ชีวิต วางแผนการอ่านหนังสือ  ออกแบบชีวิตว่า วันหนึ่งจะทำอะไร พยายามใช้เวลาในการอ่านให้มากที่สุด วางแผนว่าจะอ่านวิชาไหนก่อน ควรเริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัด ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ต้องอ่านจริงจัง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอด ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่าน อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ในช่วงอ่านหนังสือจะพบอุปสรรค์มากมาย เช่น ขี้เกียจ ง่วง เบื่อหน่าย ต้องผ่อนคลายโดยออกมาสูดอากาศนอกห้อง กินขนม ดูทีวี ฟังเพลง พูดคุยกับครอบครัว เล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือเล่นดนตรีซักพัก แล้วค่อยเริ่มต้นอ่านใหม่ ต้องเชื่อว่าเราทำได้ และสร้างกำลังใจอยู่ตลอดเวลา
6. สร้างกำลังในให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง หากท้อให้มองภาพอนาคตตัวเอง นึกถึงวันรับปริญญา วันที่พ่อแม่ดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่าน อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียทีย้ำกับตัวเองว่า เราต้องกำหนดอนาคตตัวเอง เราต้องทำได้ ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน
7. ทำตารางสอบ โดยจดวันและเวลาที่สอบไว้ให้ชัดเจน
8. อ่านตำราโดยจัดลำดับตามตารางสอบ โดยเริ่มอ่านจากวิชาที่สอบวันแรก ไปจนวันสุดท้าย และควรอ่านให้จบก่อนถึงวันสอบประมาณ 4 วันหรือมากว่านั้น และอ่านทบทวนอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะถึงวันสอบ
9. พูดคุยกับเพื่อนๆ ไม่ใช่ชวนกันคุยเรื่องแฟชั่น เสื้อผ้า แต่เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาที่จะสอบ ถ้าให้ดีควรหากลุ่มเพื่อนสนิทแล้วอ่านพร้อมกัน เมื่ออ่านจบก็ซักถามส่วนที่ไม่เข้าใจเพื่อจะได้เป็นการทบทวนความรู้ให้เพื่อน และเพิ่มความเข้าใจให้ตนเองด้วย
10. ค้นคว้าเพิ่มเติม ในกรณีที่เรายังไม่เข้าใจในเนื้อหาที่อ่านอย่างถ่องแท้ ก็ควรค้นคว้าเพิ่มเติมจากตำรา หรืออาจารย์ผู้สอน และจดบันทึกข้อควรจำที่สำคัญ เพื่อทำความเข้าใจก่อนสอบ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/393794

9 เคล็ดลับเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี

9 เคล็ดลับเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี
9 เคล็ดลับเตรียมตัวสอบให้ได้คะแนนดี

มีความตั้งใจแน่วแน่

มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สร้างกำลังใจในการอ่านหนังสือ เอาชนะความเกียจคร้าน
วิเคราะห์ตัวเอง
วิเคราะห์ ว่าเรามีความชอบและมีความถนัดในสาขาวิชาไหน แล้วลองเลือกมาเก็บไว้ 3 อันดับ โดยเลือกตามความถนัดของตัวเอง ไม่เลือกตามเพื่อน ตามใจพ่อแม่ผู้ปกครอง หรือตามกระแสนิยม
วิเคราะห์สาขาวิชาที่จะสอบ
วิเคราะห์ สาขาวิชาที่ชอบนั้นว่าเรามีพื้นฐานความรู้ในสาขานั้นๆมากพอที่จะสอบติดหรือ ไม่ มีเวลาอ่านหนังสือพอหรือเปล่า แล้วสาขาวิชากนั้นมีการแข่งขันสูงแค่ไหน แล้วประเมินตัวเองตามความเหมาะสม ถ้าอันดับ 1 ที่เลือกไว้นั้นเป็นไปไม่ได้ ก็มุ่งไปที่อันดับ 2 หรือ 3
การเตรียมความพร้อม
เตรียม ตัวอ่านหนังสือ หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ หาอาจารย์หรือเพื่อนที่คนเก่งๆ มาติว เตรียมห้อง และอุปกรณ์สำหรับการอ่านหนังสือ
วางแผนการใช้ชีวิต
ลอง ออกแบบชีวิตตัวเองดูว่า ในวันหนึ่งเราจะทำอะไรบ้าง อะไรที่จำเป็นและอะไรที่ไม่จำเป็น พยายามใช้เวลาในการอ่านหนังสือให้มากที่สุด
วางแผนการอ่านหนังสือ
เริ่ม ต้นวางแผนว่าจะเลือกอ่านวิชาไหนก่อน ควรเลือกอ่านวิชาที่ชอบหรือถนัดก่อน เลือกทำข้อสอบหรือแบบฝึกหัดจากง่ายก่อน เพื่อเป็นสร้างกำลังใจในการอ่านวิชาต่อไป ซึ่งต้องวางแผนการอ่านให้เหมาะสมกับช่วงเวลาที่เหลือของการสอบ
งดกิจกรรมอื่นๆ ชั่วคราว
สร้าง กฏเหล็กให้กับตัวเอง เช่น เลิกเล่นเกม เลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกchat msn เลิกเม้น hi5 เลิกคุยโทรศัพท์นานๆ ชั่วคราว แต่อาจผ่อนคลายด้วยการออกกำลังกาย หรือการนั่งสมาธิ
เทคนิคการอ่านหนังสือ
อย่า ปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่าง อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส พกหนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที พยายามจดโน้ตสาระสำคัญไว้ ไม่ควรนอน กินขนม ฟังเพลง ดูทีวี พร้อมๆกับการอ่านหนังสือ ควรใช้สมาธิในการอ่านอย่างเดียว
สร้างกำลังในให้ตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ใน ช่วงเวลาของการอ่านหนังสือ เราจะพบอุปสรรค์มากมาย เช่น ความขี้เกียจ ง่วง ความกังกล ความเบื่อหน่าย ต้องหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด เช่นการออกมาสูดอากาศนอกห้อง กินขนม ดูทีวี ฟังเพลง พูดคุยกับครอบครัว เล่นกับสัตว์เลี้ยง หรือเล่นดนตรีซักพักแล้วค่อยเริ่มต้นอ่านใหม่ พยายามเชื่อมั่นว่าเราทำได้ และสร้างกำลังใจอยู่ตลอดเวลา

เคล็ดลับง่ายๆสำหรับการสอบเอ็น

เคล็ดลับง่ายๆสำหรับการสอบเอ็น
 
การสอบ Entrance เป็นกิจกรรมที่น้อง ๆ ม.ปลาย ต้องเตรียมตัวให้พร้อมอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
น้องที่กำลังศึกษาอยู่ ม. 6 ที่ต้องเก็บตัวเงียบเพื่อหาความรู้เพิ่มเติมให้มากในการนำไปสอบแข่งขัน เพื่อให้มีโอกาส
เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงต่อไป หากน้อง ๆ มีทักษะในการทำข้อสอบมากพอ ก็จะทำให้เกิดความ
มั่นใจและประสบความสำเร็จได้ ในการที่จะทำข้อสอบให้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจนั้น ต้องมีการวางแผนการศึกษาตั้ง
แต่เนิ่น ๆ ควรให้เวลากับการศึกษาอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ ซึ่งการสอบ Entrance ที่ผ่านมา น้อง ๆ แต่ละคนอาจ
จะมีเคล็ดลับการสอบที่แตกต่างกันแล้วแต่ว่าใครจะงัดอะไรออกมาสู้กัน (ด้วยความสุจริต) ซึ่งได้แก่ ทางไสยศาสตร์ การบนบานศาลกล่าว เพื่อเสริมสร้างกำลังใจ หรือ การมีเคล็ดลับการเดาข้อสอบต่าง ๆ ซึ่งก็แล้วแต่ความสะดวกของน้องๆ แต่ละคน ซึ่งฉบับนี้ได้นำเคล็ดลับง่าย ๆ สำหรับการสอบ Entrance มาฝากน้อง ๆ เพื่อให้การสอบเป็นไปอย่างราบรื่น

1. การเตรียมความพร้อมก่อนวันสอบ น้อง ๆ ต้องให้ความสำคัญกับตารางสอบให้มาก ๆ เพราะตารางสอบจะบ่งบอกถึง วัน เวลา วิชาที่สอบ และสถานที่สอบ ให้กับน้อง ๆ ตลอดจนการสำรวจสถานที่สอบก่อนไปสอบจริงด้วย เพราะหากน้อง ๆ ดูไม่ละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นั่นหมายถึงว่าน้องได้ตัดโอกาสของตนเองด้วย ส่วนเรื่องอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอบ เช่น ดินสอ 2B หรือมากกว่านั้น เอกสารต่าง ๆ ที่ใช้เป็นหลักฐานในการยืนยันว่าน้องเป็นคนสมัครและเป็นคนมาสอบด้วยตนเองให้พร้อม (ไม่ควรมาหาเอาตอนจะไปสอบจะไม่ทันกาล)

2. ความพร้อมของน้อง ๆ เอง โดยก่อนออกจากบ้านไปยังสถานที่สอบ น้อง ๆ ให้ความสำคัญกับการแต่งกายหรือยัง การแต่งกายต้องสุภาพเรียบร้อย (ชุดนักเรียน) ถูกต้องตามระเบียบการแต่งกายของนักเรียนระดับ ม. ปลายหรือยัง ถ้ายังสำรวจตัวเองก่อนที่คณะกรรมการผู้คุมสอบจะไม่อนุญาตให้เข้าห้องสอบนะคะ แล้วอย่าลืมอุปกรณ์และเอกสารที่เตรียมไว้นะ จะได้ไม่เสียเวลาและไม่ทำให้น้องหงุดหงิดได้ค่ะ อย่าลืมว่าต้องไปทักทายเพื่อน ๆ ก่อนเข้าห้องสอบประมาณครึ่งชั่วโมงด้วยนะ เพื่อลดความวิตกกังวลและรู้สึกผ่อนคลาย จะได้รู้สึกดีและมั่นใจในการสอบ

3. เมื่อเข้าห้องสอบนั่งนิ่ง ๆ ทำใจให้สบาย ฟังคำชี้แจงจากคณะกรรมการคุมสอบให้ละเอียด ไม่เข้าใจให้สอบถามทันที เขียนชื่อ - สกุล รหัส ในกระดาษคำตอบให้เรียบร้อยเสียก่อน เพราะถ้าลืม ต่อให้เก่งสักเท่าไร บวก ไสยศาสตร์ก็ช่วยอะไรน้อง ๆ ไม่ได้นะคะ

4. รวบรวมสติให้มั่น อ่านคำชี้แจงให้ชัดเจน และให้เข้าใจ พร้อมทั้งสำรวจว่าข้อสอบที่ได้มีจำนวนข้อ และจำนวนหน้าตรงตามคำชี้แจงที่ข้อสอบได้ระบุไว้หรือไม่ ถ้ามีปัญหาอะไรให้รีบแจ้งคณะกรรมการคุมสอบโดยเร็ว

5. น้องต้องวางแผนการใช้เวลาในการสอบทั้งหมด โดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาในการทำข้อสอบข้อละกี่นาที จึงจะเสร็จ น้อง ๆ ควรควบคุมและใช้เวลาในการทำข้อสอบตามแผนที่วางไว้ เพราะเมื่อพบข้อที่ยาก อาจจะทำให้ทั้งเวลาและความรู้สึกของน้องเสียไปได้

6. ให้น้อง ๆ รีบจดสาระสำคัญ เช่น สูตร หรือข้อความที่ต้องใข้ในวิชานั้น ๆ ลงในกระดาษคำถามก่อนที่ความตื่นเต้นจะทำให้ลืมไปเสียก่อน (แล้วอย่าเผลอไปจดใส่กระดาษอื่น ๆ ล่ะ เดี๋ยวเจอข้อหาทุจริตได้ จะหาว่าไม่เตือน)

7. ให้น้อง ๆ เลือกทำข้อสอบในส่วนของข้อที่ง่ายก่อน แล้วค่อยทำข้อสอบในส่วนที่ยากต่อไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ในสถานการณ์ที่พบข้อที่ยากให้ทำเครื่องหมายและข้ามไปทำข้อถัดไปก่อนแล้วจึงย้อนกลับมาทำใหม่ ให้น้อง ๆ ระวังข้อคำถามหรือต้องเลือกที่มีคำที่เป็นปฏิเสธ หรือปฏิเสธซ้อนปฏิเสธให้ใช้ความละเอียดรอบคอบในการพิจารณาความหมายที่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เสียคะแนนได้

8. น้องควรใช้ความรู้ในการทำข้อสอบและไม่ต้องสนใจกับรูปแบบของข้อที่ตอบให้มากนัก เช่น ตอบข้อ ก แล้ว ข้อถัดไปไม่ควรจะเป็นข้อ ก อีก เป็นต้น ให้น้องคำนึงถึงตัวเนื้อหาที่เป็นคำตอบที่ถูกต้องดีกว่า เพราะถ้าน้องยึดติดกับตัวรูปแบบของการตอบแล้ว อาจทำให้พลาดจากคะแนนที่ต้องการได้ค่ะ

9. การตอบปกติแล้วคำตอบที่คิดไว้เป็นครั้งแรกมักจะเป็นคำตอบที่ถูก แต่ถ้าหากจะเปลี่ยนคำตอบ ควรเปลี่ยนเมื่อแน่ใจจริง ๆ ว่าที่ตอบมาแล้วตอบผิด แต่หากไม่แน่ใจให้น้องคงคำตอบเดิมไว้นะคะ ความรู้ไม่เข้าใครออกใคร ความคิดของน้องครั้งแรกจะเป็นจะเป็นตัวช่วยเพิ่มคะแนนให้น้อง ๆ ได้คะ ถ้าเวลาในการทำข้อสอบเหลือพอที่จะทบทวนให้น้องย้อนกลับไปทบทวนเฉพาะข้อที่ยากและไม่เข้าใจ เพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง และถ้าข้อสอบที่มีตัวเลือกเหลือให้ต้องเดาต้องเดาอย่างมีหลักการของความถูกต้องนะคะ เพราะไม่งั้นคะแนนอาจติดลบได้ค่ะ แต่บางคนมีเคล็ดลับการเดาที่ดี คือ การมีพื้นฐาน ความรู้และประสบการณ์ ก็อาจทำแต้มขึ้นมาได้ค่ะ

10. แนวโน้มเนื้อหาในการสอบ Entrance และคะแนนของข้อสอบแต่ละวิชา จะมีน้ำหนักที่ต่างกันออกไป ค่าของคะแนนจะขึ้นอยู่กับความยากง่ายของเนื้อหาที่ออกเป็นส่วนใหญ่ ข้อสอบที่นิยมนำมาทดสอบน้อง ๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ ข้อสอบแบบ ปรนัย และ ข้อสอบแบบอัตนัย ซึ่งน้อง ๆ บางคนอาจจะสับสนกับ คำว่า "ปรนัย" และ "อัตนัย" อยู่บ้าง "ปรนัย" คือ ข้อสอบที่มีคำถาม พร้อมตัวเลือกให้เลือกตอบ จำนวน 4 ตัวเลือก (ระดับมัธยมศึกษา) และ "อัตนัย" คือ ข้อสอบที่มีคำถาม เพียงอย่างเดียว แล้วให้น้องหาคำตอบจากการแสดงวิธีทำ เพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ ซึ่งโดยทั่ว ๆ ไปเนื้อหาของข้อสอบที่ใช้ จะวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ ของผู้เรียนมากกว่า โดยใช้หลักการของนักจิตวิทยาการศึกษา ชื่อว่า Benjamin S. Bloom (น้อง ๆ คงจะคุ้นเคยกับชื่อนี้มาบ้างแล้ว) ซึ่ง Bloom เองได้กำหนด พฤติกรรมการเรียนรู้ ไว้ดังนี้

10.1 ความรู้ ความจำ หมายถึง การวัดความสามารถในการระลึกได้ถึงประสบการณ์ที่เคยศึกษา
ความจำอาจเป็นการถามความเกี่ยวกับศัพท์ และนิยามกฎเกณฑ์ วิธีการ เป็นต้นโดยคำถามมักจะใช้
คำว่า อะไร ที่ไหน อย่างไร
10.2 ความเข้าใจ หมายถึง การวัดความสามารถในการแปลความ ตีความ และขยายความ
10.3 การนำไปใช้ หมายถึง การนำหลักวิชาไปใช้ในการแก้ปัญหาในสถานการณ์ใหม่
10.4 การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกแยะส่วนต่าง ๆของเหตุการณ์หรือเรื่องราวว่า
เป็นอย่างไร การวิเคราะห์ถึงความสำคัญ ความสัมพันธ์หรือหลักการเป็นต้น
10.5 การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการรวบรวมสิ่งที่ศึกษาเข้าด้วยกันเป็นสิ่งใหม่ หรือรูป
แบบใหม่ อาจเป็นการสังเคราะห์ข้อความ การวางแผนงานล่วงหน้าหรือความสัมพันธ์ เป็นต้น
10.6 การประเมินค่า หมายถึงความสามารถในการพิจารณาตัดสินเกี่ยวกับข้อมูลที่ได้ศึกษามาทั้ง
หมดว่าตัดสินได้ว่าอย่างไร โดยข้อสอบที่ นำมาทดสอบน้องในการสอบ Entrance แต่ละปีนั้น ก็มักจะ
นำพฤติกรรมการเรียนรู้ที่กล่าวมาแล้วข้างต้นมาเป็นตัวทดสอบความรู้ของน้อง ๆ เอง โดยที่น้องต้องรู้
ว่าพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ทางผู้ออกข้อสอบนำมาใช้นั้น เป็นแนวใด และมีลักษณะเช่นไรแล้ว จะทำให้
น้อง ๆ มีแนวทางใน การเตรียมตัวอ่านหนังสือและเตรียมตัวสอบ Entrance ต่อไป

11. น้องๆ อย่าลืมตรวจสอบกระดาษคำตอบว่าได้ตอบทุกข้อคำถามและเลือกตอบเพียง 1 ตัวเลือกเท่านั้นก่อนส่งให้กรรมการคุมสอบด้วยนะคะ

12. หลังสอบเสร็จแล้วให้น้อง ๆ กลับไปทบทวนในข้อที่ยากหรือข้อที่ไม่แน่ใจทันที เพื่อเป็นการเรียนรู้จากข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนอีกครั้ง สำหรับในการสอบครั้งต่อไป


น้อง ๆ บางคน อาจจะเห็นความสำคัญของเนื้อหาในเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดา แต่อย่าประมาทนะคะ เพราะ
ความประมาททำให้พลาดโอกาสมานักต่อนักแล้ว เตรียมตัวกันไว้แต่เนิ่น ๆ จะทำให้ไปเดินโก้ในมหาวิทยาลัยได้ค่ะ

"ความสำเร็จในทางการศึกษา มิได้มาเพราะโชคช่วย หรือด้วยคำพร่ำภาวนา แต่มาจากการไขว่คว้า พยายาม เอาจริงเอาจังและมีวินัย" 

สาเหตุที่ทำให้กรอ่านหนังสือขาดประสิทธิภาพ

สาเหตุที่ทำให้การอ่านหนังสือขาดประสิทธิภาพ มีดังนี้







  1. การอ่านทีละคำ
  2. การอ่านออกเสียง
  3. ปัญหาเกี่ยวกับศัพท์เฉพาะ
  4. การใช้วิธีเดียวกันตลอดในการอ่านทุกประเภท
  5. การใช้นิ้วชี้ข้อความตามไปด้วยในขณะอ่าน
  6. การอ่านซ้ำไปซ้ำมา
  7. การขาดสมาธิในการอ่าน

4 ขั้นตอน การจัดตารางการอ่านหนังสือ

4 ขั้นตอน การจัดตารางการอ่านหนังสือ
จริงๆ แล้วการอ่านหนังสือตอนที่พี่อ่านเตรียมสอบ ไม่ได้จัดตารางเลยครับ เพราะเคยทำแล้ว ทำไม่ได้ แล้วจะอ่านให้มีประสิทธิภาพทำอย่างไร ตอบได้คำเดียวครับ "อ่านเมื่ออยากอ่าน" แต่ต้องไม่ใช่ว่ามีแต่ไม่อยากอ่านนะ ต้องทำให้อยากอ่านบ่อยๆ อยากอ่านมากๆ อยากรู้มากๆ เพื่อให้การอ่านมีประสิทธิภาพครับ อ่านทุกเวลาที่สามารถทำได้นั่นแหละดีที่สุด
เพื่อนพี่เคยติดสูตรไว้ในห้องน้ำ พกสูตรติดตัว พกโน้ตย่อไว้ที่กระเป๋าเสื้อตลอดเวลา บางคนมีหนังสือติดตัวทุกที่ เพื่อให้ อยากอ่านเมื่อไร ก็หยิบขึ้นมาอ่านได้ทันที ไม่ต้องรอเวลา ไม่ต้องจัดตารางเอาละ แล้วถ้าจะจัดตารางเวลาอ่านหนังสือ จะทำยังไงดี พี่ขอว่าเป็นข้อๆ เลยดีกว่าครับ
 1. เลือกเวลาที่เหมาะสม
เวลาที่เหมาะสมหมายความว่า เวลาที่น้องต้องการจะอ่าน เวลาที่ว่างจากงานอื่น เวลาที่อยากจะอ่านหนังสือ หรือเป็นเวลาที่อ่านแล้วได้เนื้อหามากที่สุด เข้าใจมากที่สุด เวลาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบอ่านตอนเช้าตรู่ บางคนชอบอ่านตอนกลางคืนก่อนนอน บางคนชอบอ่านเวลากลางวัน แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน น้องต้องเลือกดูเวลาที่เหมาะสมของตัวเองนะครับ การจัดเวลาต้องให้ได้อย่างน้อย 2 ชั่วโมงครับ วันนึงถ้าอ่านหนังสือแค่วันละ 2 ชั่วโมงน้อยมาก
 2. วางลำดับวิชาและเนื้อหาขั้นตอนต่อมา คือ เลือกวิชาที่จะอ่าน มีหลักง่ายๆ คือ เอาวิชาที่ชอบก่อน เพื่อให้เราอ่านได้เยอะๆ และอ่านได้เร็ว ควรเลือกเรื่องที่ชอบอ่านก่อนเป็นอันดับแรก จะได้มีกำลังใจอ่านเนื้อหาอื่นต่อไป ไม่แนะนำวิชาที่ยาก และเนื้อหาที่ไม่ชอบนะครับ เพราะจะทำให้เสียเวลาเปล่า การอ่านหนังสือควรอ่านให้ได้ตามที่เราวางแผนเอาไว้ วิธีการก็คือ List รายการหรือเนื้อหา บทที่จะอ่านให้หมด จากนั้นค่อยเลือกลำดับเนื้อหาว่าจะอ่านเรื่องใดก่อนหลัง แล้วค่อยลงมืออ่าน
3. ลงมือทำ
ยังไง ถ้าไม่มีข้อนี้ก็ไม่มีทางสำเร็จ การลงมือทำคือการลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เหมือนกับที่พี่เคยเขียนไว้ว่า อย่าฝากอนาคตของตัวเองไว้กับความขี้เกียจของวันนี้ บางคนลงมือทำ แต่ไม่จริงจัง ก็ไม่ได้นะครับ ขอให้นึกถึงชาวนาแล้วกัน ถ้าลงมือทำนาเริ่มตั้งแต่หว่าน ไถ แล้วทิ้งค้างไว้แต่ไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ดูแลจนกระทั่งเก็บเกี่ยว หรือทิ้งไว้ไม่เก็บเกี่ยว การทำนาก็จะไม่สำเร็จ เราก็จะไม่มีข้าวกิน ดังนั้น ขอให้น้องๆ "ทำอะไร ทำจริง" แล้วกันนะครับ ทำให้ได้จริงๆ
4. ตรวจสอบผลงานผลของการอ่าน ดูได้จากว่า ทำข้อสอบได้หรือไม่ ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบได้ ก็แสดงว่าอ่านรู้เรื่อง อ่านเข้าใจ ได้เนื้อหาจริงๆ แต่ถ้าอ่านแล้วทำข้อสอบไม่ได้ ก็ต้องกลับไปทบทวนใหม่ พี่ขอแนะนำว่า อ่านแล้วต้องจดบันทึกไว้ด้วยนะครับ จะได้รู้ว่า เราอ่านไปถึงไหนแล้ว และอ่านไปได้เนื้อหาอะไรบ้าง การจดบันทึก ก็คือการทำโน้ตย่อนั่นแหละ ทำสรุปไว้เลยว่าอ่านอะไรไปแล้วบ้าง เก็บไว้ให้มากที่สุด จะได้เป็นผลงานของตัวเอง เก็บไว้อ่านเมื่อต้องการ เก็บไว้อ่านตอนใกล้สอบ
อยากจะบอกว่าช่วงนี้ยังมีเวลาเพียงพอสำหรับการเริ่มต้นที่ดี ยังไม่สายเกินไปหากคิดจะเริ่มอย่างจริงจัง อย่าอ่านเพียงแค่ได้เปิดหนังสือ อย่าโกหกตัวเองว่าได้อ่านแล้ว อย่าหลอกตัวเอง อย่าหลอกคนอื่น ความรู้ไม่สามารถลอกเลียนแบบกันได้ หลอกคนอื่นอาจหลอกได้ หลอกตัวเองไม่ได้แน่นอน คนที่รู้จักเรามากที่สุดก็คือ ตัวเราเองนี่แหละ ตั้งใจทำ ทำเพื่ออนาคตของตัวเองนะครับ

ขอให้โชคดีประสบความสำเร็จครับ

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อ การเรียน อย่างมี ประสิทธิภาพ

เคล็ดลับ 13 ประการ เพื่อ การเรียน อย่างมี
ประสิทธิภาพ
1. รับผิดชอบ
  - รับผิดชอบตนเอง ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ เป็นผู้ชนะจากความสามารถของตน
2. เริ่มต้นดี  - ช่วงเดือนแรกในรั้วมหาวิทยาลัย ถือเป็นช่วงวิกฤตของน้องใหม่ หากเริ่มต้นดี ความสำเร็วจะไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม
3. กำหนดเป้าหมายในการเรียนอย่างแน่วแน่  - กำหนดเป้าหมายในการเรียนให้ชัดเจน ทั้งระยะสั้นและระยะยาว และทุ่มเทความพยายามให้บรรลุเป้าหมายนั้น
4. วางแผน และจัดการ
  - มีการวางแผน จัดลำดับความสำคัญของกิจกรรมที่ต้องทำ หากทำตารางเวลาเป็นรายสัปดาห์ได้ยิ่งดี
 5. มีวินัยต่อตนเอง  - เมื่อกำหนดเป้าหมาย วางแผน และจัดการ ตามข้อ 4 และ 5 แล้วต้องสัญญากับตนเองอย่างแน่วแน่ที่จะมีวินัย และปฏิบัติตาม 
 6. อย่าล้าสมัย
  - วิทยาการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว การค้นคว้าหาความรู้ ต้องอิงกับข้อมูลที่ทันสมัย ทันเหตุการณ์
 7. ฝึกฝนตนเองให้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
  - ศึกษาข้อเสนอแนะในคู่มือเล่มนี้ และฝึกทักษะการเรียนรู้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ติดตัวตลอดไป
8. เตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่ชั้นเรียน
  - เตรียมตัวเป็นผู้ใฝ่หาความรู้อย่างแข็งขัน หากเป็นไปได้เตรียมอ่านเอกสารที่จะเรียนมาก่อนเข้าห้องเรียน
9. มุ่งมั้น จดจ่อต่อบทเรียน
  - มีสมาธิ สนใจ ตั้งใจ เวลาอาจารย์สอน ไม่เข้าเรียนเพื่อพูดคุยกัน ซังกะตาม รอเวลาเลิกชั้น 
10. เป็นตัวของตัวเอง
  - รู้จักคิดและทำ ด้วยความสามารถของตนเองคิดเสมอว่าเราเป็นผู้หนึ่งที่มีศักยภาพสูง
 11. มีความกระตือรือล้น
  - ความสำเร็จเป็นของผู้ที่มีความริเริ่ม เป็นฝ่ายรุกที่จะมุ่งหน้า และคว้าความสำเร็จเป็นของตน
12. มีสุขภาพดี
  - อย่าลืมใส่ใจต่อสุขภาพร่างกาย กิจกรรมนันทนาการ และกิจกรรมสังคม วางแผนจัดเวลาต่อสิ่งเหล่านี้ให้พอเหมาะ
13. เรียนอย่างมีความสุข
  - พยายามเก็บเกี่ยวความน่าสนใจในบทเรียน คิดเสมอว่าทุกวิชาน่าเรียนรู้ น่าสนุกทั้งนั้น แล้วท่านจะพบว่า เราก็เรียนอย่างมีความสุขได้

เคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน

เคล็ดลับการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ นักเรียนนักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ









1. เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ แต่ทว่าเราจะไม่อ่านไปเรื่อย ๆ คือเราจะ หยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว

2. จากนั้นให้ปิดหนังสือ ! แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ เราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเราเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากเราสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเราเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้

3. หากตอนใดเราอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง

4. หากเราพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป

5. ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น

6. การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง

7. การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เราเข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ

8. ดังนั้นจึงขอสรุปเทคนิคง่าย ๆ สั้น ๆ ดังต่อไปนี้ :-
          ก.ให้อ่านหนังสือ สลับกับ การอธิบายให้ตัวเองฟัง
          ข.ให้ท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริง ๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆ 
อ่านหนังสือด้วยวิธีการนี้จะทำให้เราเข้าใจบทเรียนได้ทั้งเล่ม ไม่ลืมเลย...สวัสดี 

หมายเหตุ * เทคนิคการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนได้อย่างแม่นยำนี้ เป็นเพียงข้อเดียว (อรรถปฏิสัมภิทา) ในธรรมะชุดปฏิสัมภิทา 4 หรือ ธรรมะเพื่อความเลิศทางวิชาการ จาก พระไตรปิฎกมรดกทางปัญญาที่สำคัญที่สุดของคนไทย )

6เทคนิค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือ

เทคนิค 6 ข้อ ที่ควรทำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบให้ได้ผล ใน 1 เดือน ซึ่งอาจจะมีข้อสำคัญสำหรับน้องๆ คือ การเลิก Chat ไปสักระยะ (แหม ข้อนี้ทำร้ายจิตใจกันจริงๆ นะคะ) แต่ก็นั่นล่ะค่ะ แชทมากไปก็ไม่ดี น้องๆ ก็รู้อยู่ แชทพอให้หายเครียดก็คงเป็นทางสายกลางที่น่าจะทำนะคะ.. เอ๊า มาดูกัน ว่ามีเทคนิคอะไรน่าสนใจบ้าง






1.ต้องเลิกเที่ยว เลิกดื่ม เลิกสร้างบรรยากาศที่ไม่ใช่การเตรียมสอบ เลิก chat ตอนดึกๆ เลิกเม้าท์โทรศัพท์นานๆ ตัดทุกอย่างออกไป ปลีกวิเวกได้เลย ต้องทำให้ได้ ถ้าไม่ได้อย่าคิดเลยว่าจะสอบติด ฝันไปเถอะ
2.ตัดสินใจให้เด็ดขาด ว่าต่อไปนี้จะทำเพื่ออนาคตตัวเองบอกเพื่อน บอกพ่อแม่ บอกทุกคนว่า อย่ารบกวน ขอเวลาส่วนตัว จะเปลี่ยนชีวิต จะกำหนดชีวิตตัวเอง จะกำหนดอนาคตตัวเอง เพราะเราต้องการมีอนาคตที่กำหนดได้ด้วยตัวเอง ใช่หรือไม่
3.ถ้าทำ 2 ข้อไม่ได้ อย่าทำข้อนี้ เพราะข้อนี้คือ ให้เขียนอนาคตตัวเองไว้เลยว่า จะเรียนต่อคณะอะไร จบแล้วจะเป็นอะไร เช่น จะเรียนพยาบาล ก็เขียนป้ายตัวใหญ่ๆ ติดไว้ข้างห้อง มองเห็นตลอดเลยว่า "เราจะเป็นพยาบาล" จะเรียนแพทย์ก็ต้องเขียนไว้เลยว่า "ปีหน้าจะไปเหยียบแผ่นดินแพทย์ศิริราช-จุฬา" อะไรทำนองนี้ เพื่อสร้างเป้าหมายให้ชัดเจน
4.เตรียมตัว สรรหาหนังสือ หาอาจารย์ติว หาเพื่อนคนเก่งๆ บอกกับเค้าว่าช่วยเป็นกำลังใจให้เราหน่อย ช่วยเหลือเราหน่อย หาหนังสือมาให้ครบทุกเนื้อหาที่จะต้องสอบ เตรียมห้องอ่านหนังสือ โต๊ะ เก้าอี้ โคมไฟ ให้พร้อม
5.เริ่มลงมืออ่านหนังสือ เริ่มจากวิชาที่ชอบ เรื่องที่ถนัดก่อน ทำข้อสอบไปด้วย ทำแบบฝึกหัดจากง่ายไปยาก ค่อยๆ ทำ ถ้าท้อก็ให้ลืมตาดูป้าย ดูรูปอนาคตของตัวเอง ต้องลงมืออ่านอย่างจริงจัง อย่างน้อยวันละ 10 ชั่วโมง แล้วจะทำได้ไง วิธีการคือ อ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส อ่านทุกครั้งที่มีโอกาส หนังสือต้องติดตัวตลอดเวลา ว่างเมื่อไรหยิบมาอ่านได้ทันที อย่าปล่อยให้ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ที่สำคัญอ่านแล้วต้องมีโน้ตเสมอ ห้ามนอนอ่าน ห้ามกินขนม ห้ามฟังเพลง ห้ามดูทีวี ห้ามดูละคร ดูหนัง อ่านอย่างเดียว ทำอย่างจริงจัง
6.ข้อนี้สำคัญมาก หากท้อให้มองภาพอนาคตของตัวเองไว้เสมอ ย้ำกับตัวเองว่า "เราต้องกำหนดอนาคตของตัวเอง ไม่มีใคร กำหนดให้เรา เราต้องทำได้ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้" ให้กำลังใจกับตัวเองอยู่เสมอ บอกกับตัวเองอย่างนี้ทุกวัน หากท้อ ขอให้นึกว่า อย่างน้อยก็มีผู้เขียนบทความนี้เป็นกำลังใจให้น้องๆ เสมอ นึกถึงภาพวันที่เรารับปริญญา วันที่เราและครอบครัวจะมีความสุข วันที่คุณพ่อคุณแม่จะดีใจที่สุดในชีวิต ต่อไปนี้ต้องทำเพื่อท่านบ้าง อย่าเห็นแก่ตัว อย่าขี้เกียจ อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง เลิกนิสัยเดิมๆ เสียที

5 เคล็ดลับการอ่านหนังสือสอบ










1. คนที่อ่านหนังสือคนเดียวมักจะเสียเปรียบ คนที่อ่านเป็นกลุ่มมักจะได้เปรียบ เนื่องจากอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน หรืออ่านไม่ตรงจุด หรือ(บางคน)อาจอ่านไม่รู้เรื่อง ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
   ** แต่วิธีนี้ไม่เหมาะสำหรับคนชอบแชตนะค่ะ อิอิ
2. ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ (ต้องรับผิดชอบตัวเอง)
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่น (ถ้าไม่แล้งน้ำใจเกินไป) ก็จะให้ตอบเอง
4. ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย บางครั้งเพื่อนก็สามารถเสริมเติมเต็มในบางจุดที่ผู้ติวขาดหายได้
5. การติวจะทำให้เกิดการ Share ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น ช่วยพัฒนาทั้งด้าน IQ และ EQ (อ่านเองจะพัฒนาแต่ IQ)

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ 







1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ
4. เช็คคำตอบ
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม
1. เที่ยวทะเล..ฮาเฮ
ถ้าเปิดเทอมหน้าร้อน ก็ไม่ควรพลาดที่จะไปทะเลนะจ๊ะ หอบชุดว่ายน้ำเก๋ๆ บิกินี่ตัวเก่ง ไปเดินริมหาด เล่นน้ำทะเลใสๆ ที่หมู่เกาะสิมิลัน ไปอาบแอดริมชายหาดแถวๆ หมู่เกาะพีพี ก็เก๋ไม่เบา.. หรือจะไปดำน้ำ ดูปะการังที่หาดกะตะ จ.ภูเก็ต ก็น่าสนใจดีนะคะ.. ว่าแล้ว ก็แพ็คกระเป๋า ออกเดินทางกันเล้ยยยย
2. ตะลอนทัวร์กรุงเทพฯ
ไม่อยากไปเที่ยวไหนไกลๆ กลัวเหนื่อย กลัวเปลือง ห่วงบ้าน ห่วงแฟน ไม่เป็นไร เที่ยวในกรุงเทพฯ นี่แหละ ดีที่สุด ไปเลย จะเดินห้าง ตากแอร์ เข้าวัดไหว้พระ แวะช้อปของร้านมือสอง ชมพิพิธภัณฑ์ซาบซึ้งศิลปะ สูดอากาศตามสวนสาธารณะ นั่งเรือล่องแม่น้ำเจ้าพระยา ถ่ายรูปรอบเกาะรัตนโกสินทร์ ลองลิสต์รายชื่อสถานที่ ที่ยังไม่ได้ไปให้ครบ แล้วไปลุยกันเลย
3. ตะเวนกินของอร่อย
วิธีพักผ่อนง่ายๆ ฉบับคลายเครียดช่วงปิดเทอม รวมก๊วนเพื่อนสนิทให้ครบ แล้วพากันไปกิน กิน และกิน ที่ไหนว่าดี ร้านไหนเจ๋ง ไล่เก็บให้หมด ทั้งของหวาน ของคาว ข้าว ก๋วยเตี๋ยว เค้ก ไอศกรีม ฝรั่ง ไทย จีน อย่าให้พลาด.. การได้กินของอร่อยๆ นี่ล่ะสุขที่สุดแล้ว
4. ขี่จักรยาน
การออกกำลังกายด้วยการขี่จักรยานนี่ล่ะ .. ใช่เล้ยย สองข้างทางเป็นต้นไม้เขียวๆ สดชื่น แจ่มใส จะเป็นตอนเช้าอากาศดีๆ รับวันใหม่ หรือจะเป็นตอนเย็น แดดร่มลมตก ดูพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่เลวน๊า ขี่แบบออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อ หรือขี่แบบท่องเที่ยวเพลิดเพลินกับธรรมชาติ ดูบ้านดูเมืองรอบเกาะอยุธยา
5. ออกค่าย
ถ้าเบื่อการท่องเที่ยวที่หรูหรา ฟู่ฟ่า ลองชวนเพื่อนไปออกค่าย ทำกิจกรรมต่างจังหวัดกัน เพราะเดี๋ยวนี้มีโครงการออกค่ายของพี่ๆ มหาวิทยาลัย เช่น โครงการออกค่ายกับกลุ่มองค์กร NGO ก็มีที่น่าสนใจเยอะแยะเลย ขวนขวายกันสักนิด รับรองว่าปิดเทอมนี้ได้เพื่อนใหม่กลับมาเพียบ เว็บไซต์ที่น่าสนใจสำหรับเพื่อนๆ ที่อยากออกค่ายอาสาเพื่อสังคมก็มี ลองเข้าไปเช็กข่าวสารกันได้ ว่ามีค่ายอะไรที่เราสนใจบ้าง
ข้อมูล teen.mthai.com อ้างอิง KNOCK KNOCK

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม6. โดดน้ำ เล่นน้ำตก
ถ้าอยู่บ้านร้อนนัก ก็ไปหาที่ดับร้อนกัน ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากการเที่ยวทะเล ไปเที่ยวน้ำตกดูบ้าง อย่างน้ำตกทีลอซู จ.ตาก คนจริงที่รักการท่องเที่ยวพลาดไม่ได้เลย เพราะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง น้ำไหลแรงตลอดปีออกแนวผจญภัยหน่อยๆ จะนั่งรถ หรือล่องแพเข้าไปก็ได้ เห็นน้ำใสๆ นั่งหย่อนเท้าเล่น หรือกระโจนลงน้ำคลายร้อนกันก็มันสะใจไปเล้ย
7. ล่องแก่ง
ถ้าชีวิตรักความท้าทาย อย่ามัวแต่กล้าๆ กลัวๆ ปิดเทอมทั้งทีไปล่องแก่งกันดีกว่า ได้ล่องเรือ ผ่านแก่งหิน สายน้ำเชี่ยว ชีวิตมีรสชาติดีออก เส้นทางที่น่าสใจก็มี ล่องแม่กลอง ทีลอซู ล่องแก่งเมืองกาญน์ ล่องออบหลวง จ.เชียงใหม่ แต่นะนำว่า ควรศึกษาช่วงเวลาและการพายเรือ
อย่างปลอดภัยก่อน ..เมื่อพร้อมแล้ว ก็ ลุ้ยยยย…
8. Backpack.. แบกเป้แนวขาลุย
ปิดเทอมนี้ แบกเป้คู่ใจพร้อมหนีบเพื่อนสัก 3-4 คน ไปเที่ยวสไตล์ติดดิน เอามันส์กันดีกว่า มีทุนหน่อย ก็ไปลุยที่ฮิปๆ อย่างทิเบต ญี่ปุ่น จีน หรือไม่ก็ไปภูฎานนั่นเล้ยย (ที่ความฮิตยังไม่สร่างซา) ส่วนใครนิยม ท่องเที่ยวไทย ก็ไม่ควรพลาด กิจกรรมเดินป่า ปีเขา พายเรือยแคนนู ขี่จักรยานเสือภูเขา เที่ยวกันสไตล์คนเอ็กซ์ตรีมสุดเหวี่ยงกันไปเลย
9. ท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agrotourism)
อย่ามัวทำตัวเชย ไม่เคยไปเที่ยวชม ชิม ซื้อผลิตภัณฑ์สวนเกษตรล่ะ ลองไปสัมผัสดู ได้ทั้งความรู้ เกี่ยวกับรูปแบบกิจกรรม และการประกอบอาชีพทางการเกษตรแบบรู้ลึก รู้จริง จะชมสวนกาแฟ ดูการผลิต ชิมกาแฟสด หรือจะไปนั่งล้อเกวียน ชมการปลูกผัก ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ เก็บผลผลิตกันที่ศูนย์วิจัยพืชสวน จ. แพร่ ก็สนุกไม่แพ้กัน ลองหาข้อมูล แล้วไปเที่ยวกัน รับรองว่า ได้เที่ยวเพลินจนลืมกลับบ้านแน่..
10. ดูดาว ..เอาบรรยากาศ
ไปเที่ยวต่างจังหวัดทั้งที ไม่ว่าจะภูเขาหรือทะเล ควรหาโอกาสแหงนมองฟ้า ดูดาวยามค่ำคืน แล้วจะรู้ว่าบรรยกาศแบบนี้ ไม่ได้หาดูง่ายๆ ในกรุงเทพฯ เลือกวันที่ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆ ฝนไม่ตก ดูดาวอยู่ริมหาด หรือดื่มด่ำบรรยากาศดาวเต็มฟ้า อยู่บนภูเขาสูงกับเพื่อนสนิท หรือคนรู้ใจ ช่างน่าอิจฉาจริงๆ

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม
11. กินอาหารบนแพ ริมเขื่อน
ถ้าขี้เกียจไปเที่ยวไหนไกลๆ ขอแนะนำให้ไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี หาที่กิน เปลี่ยนบรรยกาศบ้าง จะไปรถยนต์ หรือจะใช้บริการการรถไฟ ก็สะดวกเหมือนกัน ที่นี่มีจุดชมวิวที่สวยงาม ที่สำคัญ มีร้านอาหารให้นั่งชิลๆ กินบรรยกาศบนแพริมเขื่อนด้วย
เกิดอากาศร้อนๆ ก็กระโจนลงน้ำเดี๋ยวนั้นเลยก็ยังได้
12. กินอาหารทะเล.. ไม่เห็นต้องไปถึงทะเล
ช่วงซัมเมอร์ ใครๆ ก็แห่ไปทะเลกัน ลองหนีผุ้คนมาพักผ่อนสบายๆ แบบบรรยกาศชายทะเล ใกล้กรุงเทพฯ กัน ที่ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม กินอาหารทะเลสดๆ รับลมโชย หรือขับรถไปเที่ยวบางปู จ.สมุทรปราการ มีร้านอาหารทะเลการันตีความอร่อย เพียบบบบ มาช่วงเย็นๆ ดูพระอาทิตย์ตก ถึงจะเป็นน้ำกร่อย แต่ขอรับรอง ทริปนี้ไม่มีกร่อยแน่เจ้าค่ะ
13. เที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศ
วันไหนอากาศดีๆ ขับรถไปเที่ยวฟาร์มนกกระจอกเทศกัน ไม่ว่าจะเป็นที่ จังหวัดพิจิตร เพชรบุรี ลพบุรี หรืออย่างที่ จ.เพชรบูรณ์ ที่ฟาร์มของ พล.ต. สนั่น ที่มีลักษณะเป็นรีสอร์ตให้พักค้างคืน สูดอากาศดีๆ มีบึงให้พายเรือ ขี่จักรยานหรือจะมาตั้งแคมป์ ท่ามกลางธรรมชาติ ชมไร่องุ่นและฟาร์มนกกระจอกเทศ ซื้อของฝากก่อนกลับ้าน ลองจัดโปรแกรมเที่ยวสัก 2 วัน 1 คืน ก็สนุกสุดๆ แล้ว
14. ชมเมืองโบราณ จ.สมุทรปราการ
เที่ยวเมืองโบราณที่เดียวก็คุ้มสุดๆ เพราะที่นี่ได้จำลองสถานที่ท่องเที่ยวโบราณสถานสำคัญๆ จากทุกภาคของประเทศ มาให้เที่ยวชมกันทั้งวัน ลองขับรถเที่ยวหรือเช่าจักรยานขี่รอบเมืองก็ได้ ศึกษาประวัติศาสตร์ ศิลปะวัฒนธรรมทั่วไทย แถมได้ถ่ายรูปกันเพลินเชียวล่ะ
15. สยาม โอเชี่ยน เวิลด์
ช่วงที่สยามโอเชี่ยน เวิลด์ เปิดใหม่ๆ น้องๆ คงกำลังขะมักเขม้นกับการเรียนกันอยู่ ปิดเทอม ก็ได้โอกาสไปลองของใหม่กับโลกใต้ทะเลแล้ว ที่นี่มีปลาทะเลสวยๆ สัตว์ทะเลหน้าตาแปลกๆ ในบรรยากาศเย็นๆ ให้ได้ตื่นตากันถึง 7 โซน ล่าสุดเขาจัดกิจกรรมดำน้ำกับฉลามด้วย พลาดไม่ได้เด็ดขาด เอาต์แล้วจะหาไม่เตือน (นะเออ)

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม


16. ไหว้พระเก้าวัด

ช่วงนี้ ทั้งภาครัฐและเอกชน กำลังรณรงคืให้วัยรุ่นไทย หันมาใส่ใจ และใกล้ชิดพระธรรมกันมากขึ้น เอ้า! เกาะกระแสกับเขาหน่อย ขอแนะนำให้ไปไหวัพระ 9 วัด ให้ได้บุยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะวัดใน จ.อยุธยา เพราะที่นี่มีวัดสำคัญๆ มากมายอยู่ใกล้ๆ กัน สมัครพรรคพวกนั่งรถไฟออกจากกรุงเทพฯ ช่วงสายๆ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง เหมารถสามล้อพาเที่ยววัดทั่วเมือง แวะกินก๋วยเตี๋ยวเรืออยุธยาก่อนกลับ ก็สนุกไปอีกแบบ
17. เวิร์ก แอนด์ ทราเวล
อยู่ประเทศไทยร้อนนัก หนีไปเปิดโลก กับกิจกรรม เวิร์ก แอนด์ ทราเวลดีกว่า เพราะกิจกรรมนี้ น้องๆ จะได้ฝึกทั้งทักษะการทำงาน พร้อมกับได้เงินค่าตอบแทน ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงตัวเอง แถมให้รางวัลชีวิตด้วยการได้เที่ยว งานนี้ได้ทั้งฝึกภาษาและการใช้ชีวิต ยอมลงทุนสักนิด กำไรชีวิตก็รออยู่ตรงหน้า สนใจก็ไม่ยาก หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
18. เป็นล่าม 
คนไหนที่มั่นใจในวิทยายุทธ์ทางภาษามากๆ แนะนำให้ลองหารายได้เสริมจากการเป็นล่ามดู งานนี้หาได้ไม่ยาก ลองศึกษาได้จากคุณครูสอนภาษาที่โรงเรียน หรือจากบริษัทรับงานโดยตรง ซึ่งก็ต้องทำใจกันหน่อย เพราะบริษัทหักค่าเปอร์เซ็นต์ไปบ้าง แต่กคุ้ม เพราะประสบการณ์แบบนี้ ท้าทายความสามารถมากๆ เลยค่ะ
19. เรียนทำอาหาร เพิ่มเสน่ห์ปลายจวัก
ใครที่อยากเพิ่มสน่ห์ให้กับตัวเอง การเรียนทำอาหารก็เป็นวิธีที่ดีวิธีหนึ่ง ปิดเทอมทั้งที น่าจะลองไปทำอาหารกันสักคอร์ส สองคอร์ส พอจะมีวิชาติดตัวเพิ่มดีกรีให้กับตัวเอง จะเป็นอาหารไทย หรือนานาชาติ ของว่าง ขนมอบ ไว้ทำกินที่บ้านหรือเป็นของขวัญสำหรับรู้ใจ ก็เป็นความคิดที่ดีนะจ๊ะ เข้าครัวคราวหน้าจะได้มั่นใจขึ้นไง
20. เรียนจัดดอกไม้
เพิ่มความสดชื่นให้กับชีวิตและเติมสีสันให้กับวันว่าง ไปเรียนจัดดอกไม้กันดีกว่า เพราะนอกจากจะมีความสุข อยู่ท่ามกลางดอกไม้หลากสีแล้ว ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้กับผู้หญิงเราด้วยนะ เดี๋ยวนี้เขามีหลักสูตรการจัดให้เลือกตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแบบสากลที่สอนกันตั้งแต่พื้นฐาน จนถึงเป็นมืออาชีพ หรือทำเก๋เรียนการจัดแบบอิเคบานะ (Ikebana) แบบญี่ปุ่นก็อินเทรนด์น่าดู

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม

21. เรียนต่อผ้า Quilt
ถักนิตติ้งก็เบื่อแล้ว ปักครอสติช ก็งั้นๆ ลองมาเรียนต่อผ้า แบบ Quilt กัน ศิลปะการเย็บผ้าแบบต่อๆ กันที่น่ารักมากๆ เลยล่ะ ได้ใช้ทั้งจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐ์ผลงาน เป็นลวดลายต่างๆ ตามใจชอบ ทำเป็นปลอกหมอน ผ้าปูโต๊ะ หรือพลิกแพลงเป็นของขวัญ จากวันว่างไม่ซ้ำใครก้ยังได้
22. เรียนดนตรี 
“ชนใดไม่มีดนตรีกาล ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก” สำนวนนี้ยังใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย ไม่อยากตกเทรนด์ก็ควรหาคอร์สเรียนดนตรีกัน จะเรียนกีตาร์ไว้โชว์เพลงอะคูสติกใสๆ ไวโอลิน เพิ่มความคลาสสิกให้ชีวิต หรือจะตีกลองเพิ่มเสน่ห์ก็เท่ไม่เบา หรือใครชอบร้องมากกว่า ก็มีโรงเรียนสอนร้องเพลงให้เลือกมากมาย ร้องเพลงเพลินพร้อมฝึกพลังเสียง เพิ่มพลังปอดไว้ไม่เสียหาย
23. เรียนภาษา
เดี๋ยวนี้รู้ภาษาที่ 2 อย่างภาษาอังกฤษอย่างเดียวคงไม่พอแล้วล่ะ ก็โลกเราน่ะหมุนเร็วออกอย่างนี้ ต้องตามกันให้ทันนะ ว่างๆ ก็ควรไปเรียนภาษาที่ 3 ที่ 4 เพิ่มเติมเอาไว้ จะเป็นภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝรั่งเศส เยอรมัน ล้วนดีและมีประโยชน์ทั้งนั้น เพราะการเรียนภาษา คือเรียนทั้งภาษาที่ใช้สื่อสาร และวัฒนธรรมของประเทศนั้นๆ ด้วย รู้อย่างนี้แล้ว ไปเรียนภาษาพัฒนาสมองซีกซ้ายกันเถอะ
24. เรียนถ่ายรูป
นอกจากจะชอบโพสต์ท่าอยู่หน้ากล้อง คงจะดีไม่น้อย ถ้าได้เรียนรู้การเป็นตากล้องเท่ๆ ด้วยการเทคคอร์สสั้นๆ ช่วงปิดเทอม ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิตอล หรือกล้อง Manual คราวหน้าไปเที่ยวที่ไหนก็ได้เก็บภาพประทับใจสวยๆ ด้วยฝีมือตัวเองไง
25. เรียนศิลปะป้องกันตัว
สังคมสมัยนี้ มีภัยมืดรอบด้าน ยิ่งเป็นผู้หญิงด้วยแล้วยิ่งต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เรียนเทคนิคการป้องกันตัวไว้ให้พ่อแม่อุ่นใจก็ไม่เลวนะ จะเลือกป้องกันตัวแบบไทยๆ อย่างมวยไทย หรือจะไปเรียนเทควันโด้ คาราเต้ หรืออินเทรนด์หน่อยก็ต้องเรียนไอคิโด้ ที่ฝึกได้ทุกเพศทุกวัย เน้นการป้องกันตัวทุกรูปแบบ ที่สำคัญมีวิธีป้องกันตัวสำหรับผู้หญิง โดยไม่ต้องใช้กำลังตัวเองมากด้วย อยากรู้ต้องไปลอง

30 กิจกรรมช่วงปิดเทอม

26. ทำงานพาร์ตไทม์..หารายได้
เบื่อไปเที่ยวมากนัก ก็มาหางานทำเพิ่มประสบการณ์และรายได้กัน ที่ฮิตๆ ก็นี่เลย! เป็นพนักงานประจำร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า สเวนเซ่นส์, พิซซ่า, สาร์บัคส์, แมคโดนัลด์ จะบอกว่า นอกจากจะได้เงินค่าขนมลดภาระที่บ้านแล้ว การทำงานเหล่านี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดี และเป็นประโยชน์กับการทำงานในอนาคตด้วยล่ะ
27. ทำธุรกิจ..หาเงินค่าขนม
ว่างๆ ช่วงนี้ลองสำรวจข้าวของในบ้านสิ ว่ามีเสื้อผ้าหรือของใช้สภาพดีอันไหนบ้างที่ไม่ได้ใช้แล้ว ลองรวบรวมไว้ แล้วนัดเพื่อนๆเปิดท้ายขายของกัน ไม่ว่าจะเป็นทีสยามตอนค่ำๆ โลตัสพระราม 4 บิ๊กซี สะพานควาย หรือตลาดนัดจตุจักรก็ได้ งานนี้ได้ทั้งเงินและประสบการณ์ แถมสนุกด้วยนะเออ
28. เดินถนนข้าวสาร ดูของรายทาง
ปิดเทอมแล้วไม่ต้องกังวลว่า ต้องรีบกลับไปทำการบ้าน ได้เวลาเถลไถลแล้ว ไม่ต้องไปที่ไหนไกลเลย เพราะที่ถนนข้าวสาร มีกิจกรรมที่หลากหลายให้ทำกันตลอดสาย ตั้งแต่เดินดูของเก๋ๆ ถักผมเปลี่ยนแนว เพ้นต์เล็บเพิ่มสีสัน ดูดวงเสริมชะตา พอหิวก็มีของให้ซื้อกินกันเพลินๆ เต็ม 2 ข้างทาง แถมมีหนุ่มๆ สาวๆ ชาวต่างชาติเดินกันให้ควั่ก เปลี่ยนบรรยากาศดีออก
29. อยู่วัดฝึกสมาธิ
กิจกรรมนี้เหมาะสำหรับคนที่เบื่อสังคมเมืองที่วุ่นวาย และชีวิตที่เร่งรีบ ปิดเทอมหาเวลาปลีกตัวเข้าวัดสงบจิตใจกันดู วัดหลายแห่งมักจะจัดโครงการให้ผู้ที่สนใจ ได้มาอาศัยอยู่ที่วัด 5 วันบ้าง 7 วันบ้าง ตื่นเข้าสวดมนต์ เดินจงกลม นั่งวิปัสนา นั่งสมาธิ ฟังเทศน์ เพื่อเตรียมจิตใจให้พร้อมเริ่มต้นสู้กันใหม่ หรือใครมีหัวครีเอต ตามวัดในต่างจังหวัด เขาก็มีกิจกรรมให้เพนต์ผนังวัดด้วยนะ
30. ไปไหนไปกัน
ช่วงเวลาหยุดพักยาวอย่างนี้ แนะนำให้ทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข ที่ไหน เมื่อไรก็ได้ที่เคยคิดไว้ตอนช่วงสอบ ว่าอยากจะทำ แล้วทำเสียให้ดมด ถือเป็นการให้รางวัลกับตัวเองที่เหนื่อยมาทั้งเทอม ปิดเทอมชาร์ตพลังให้เต็มที่ เพื่อเตรียมฟิตร่างกายและจิตใจไว้รับมือกับเทอมใหม่ไง